Pages

Tuesday, June 30, 2020

เปิดขั้นตอนพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และความคืบหน้าจากทีมวิจัยทั่วโลก - efinanceThai

tosokpopo.blogspot.com

  เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ The New York Times เปิดเผยข้อมูลการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 140 ตัวที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยทีมนักวิจัยจากทั่วโลก

   ในขั้นตอนปกติของการพัฒนาวัคซีนรักษาโรคนั้น ต้องมีการศึกษาวิจัยและทดลองก่อนจะได้รับอนุญาตให้นำไปใช้กับผู้ป่วย แต่สำหรับโรคโควิด-19 นั้น เป็นกรณีฉุกเฉินที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต้องเร่งขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ เพื่อให้สามารถผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้ตามเป้าหมายภายในปีหน้า

   การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 เริ่มต้นครั้งแรกในเดือนมกราคม ด้วยการถอดรหัสข้อมูลพันธุกรรม (Genome) ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (SARS-CoV-2) ที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ก่อนจะเข้าสู่ขั้นทดลองในมนุษย์ หรือทดลองทางคลินิกแบบปลอดภัยเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

   แต่ผลการทดลองที่ไม่แน่นอนทำให้บางทีมวิจัยนั้นล้มเหลวหรือได้ผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน และมีเพียงไม่กี่ทีมเท่านั้นที่ประสบผลสำเร็จ ถึงขั้นทำให้วัคซีนสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและสร้างสารภูมิต้านทานออกมาต่อสู้กับไวรัส

   สำหรับการทดลองวัคซีนโควิด-19 ในมนุษย์ มีขั้นตอนการทดลองและสถานะที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้

   ทดลองก่อนการทดสอบในมนุษย์ (Pre-clinical Testing) – นักวิทยาศาสตร์จะทดลองให้วัคซีนแก่สัตว์ เช่น หนูหรือลิง เพื่อดูว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันตอบสนองหรือไม่

   ระยะที่ 1 ทดสอบในมนุษย์แบบปลอดภัย (Phase I Safety Trials): นักวิทยาศาสตร์จะให้วัคซีนจำนวนน้อยแก่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อทดสอบความปลอดภัยและปริมาณวัคซีนที่ใช้ ตลอดจนยืนยันประสิทธิภาพของวัคซีนว่าสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้หรือไม่

   ระยะที่ 2 ขยายการทดสอบในมนุษย์ (Phase II Expanded Trials): นักวิทยาศาสตร์จะให้วัคซีนแก่กลุ่มตัวอย่างหลายร้อยคน แยกเป็นหลายกลุ่ม เช่น เด็กและผู้สูงอายุ เพื่อดูว่าวัคซีนให้ผลแตกต่างกันอย่างไรในแต่ละกลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความปลอดภัยของวัคซีนและประสิทธิภาพในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

   ระยะที่ 3 ทดสอบในมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ (Phase III Efficacy Trials): นักวิทยาศาสตร์จะให้วัคซีนแก่กลุ่มตัวอย่างหลายพันคน และดูว่ามีกี่คนที่ยังติดเชื้อ พร้อมเปรียบเทียบกับกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับยาหลอก (Placebo) ในขั้นตอนนี้จะสามารถพิจารณาได้ว่า วัคซีนนั้นสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้หรือไม่

   อนุมัติการใช้ (Approval) – หน่วยงานควบคุมของแต่ละประเทศ จะตรวจผลการทดสอบและตัดสินใจว่าจะอนุมัติการใช้วัคซีนหรือไม่ ซึ่งในช่วงวิกฤตการระบาดใหญ่ทั่วโลก (Pandemic) ที่เกิดขึ้น วัคซีนที่ผ่านการทดสอบ อาจได้รับอนุมัติให้ใช้งานฉุกเฉินก่อนจะอนุมัติอย่างเป็นทางการ

   Warp Speed: สำหรับทีมวิจัยที่มีสถานะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จะได้รับเงินสนับสนุนจากโครงการ Operation Warp Speed ของรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่า วัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 ได้จริงก็ตาม

   รวมการทดสอบหลายระยะ – อีกหนทางเพื่อเร่งการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 คือการรวมการทดสอบหลายระยะไปพร้อมกัน โดยทีมวิจัยบางทีมตอนนี้กำลังทดสอบวัคซีนในมนุษย์ ทั้งระยะที่ 1 และ 2 ไปพร้อมกัน

   ขณะที่วิธีการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ณ ปัจจุบัน แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบได้แก่

   Genetic Vaccines: การพัฒนาวัคซีนโดยใช้ยีนของไวรัสในการกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน

  ปัจจุบันมีทีมวิจัยเอกชนหลายรายในสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมนี ที่พัฒนาวัคซีนในรูปแบบนี้ โดยทีมวิจัยที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด อยู่ระหว่างการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 ได้แก่บริษัท Moderna ของสหรัฐฯ, ทีมวิจัยรวมจากบริษัท BioNTech ของเยอรมนี, Pfizer ของสหรัฐฯ และ Fosun Pharma ของจีน และมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอนของอังกฤษ

   Viral Vector Vaccines: การพัฒนาวัคซีนด้วยการใช้ไวรัสที่ทำให้อ่อนลงและไม่ก่อให้เกิดโรค มาตัดต่อใส่สารพันธุกรรมของไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน

  ปัจจุบัน มี 3 ทีมวิจัยที่กำลังนำวัคซีนที่พัฒนาด้วยวิธีนี้ ไปทดสอบในมนุษย์ ได้แก่

   – ทีมวิจัยของ AstraZeneca ผู้ผลิตยารายใหญ่ของอังกฤษและสวีเดน ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยทีมวิจัยนี้มีความก้าวหน้าถึงขั้นทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 3 และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการ Warp Speed ซึ่งคาดว่าอาจส่งมอบวัคซีนฉุกเฉินได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม

   – ทีมวิจัยของบริษัท CanSino Biologics จากจีน ที่ร่วมมือกับสถาบันชีววิทยา ของสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารของจีน ซึ่งมีความก้าวหน้าในการพัฒนาถึงขั้นทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 และมีข้อมูลว่าผลการพัฒนา สามารถทำให้วัคซีนกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้ดี จนทำให้กองทัพจีนอนุมัติการใช้วัคซีนนี้ภายในกองทัพเมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา

   – ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัย Gamaleya ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุขรัสเซีย เริ่มต้นการทดสอบวัคซีนมนุษย์ ระยะที่ 1 ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

   Protein-Based Vaccines: การพัฒนาวัคซีน ด้วยการใส่ชิ้นส่วนโปรตีนของไวรัสเพื่อกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน

  บริษัท Novavax จากสหรัฐฯ เป็นผู้นำในการทดสอบวัคซีนที่พัฒนาด้วยวิธีนี้ โดยอยู่ระหว่างการทดสอบในมนุษย์ ระยะที่ 1 และ 2 ขณะที่บริษัท Clover Biopharmaceuticals และบริษัท Anhui Zhifei Longcom ที่ร่วมมือกับสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์จีน ก็พัฒนาวัคซีนด้วยวิธีนี้ และอยู่ระหว่างการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1

   Whole-Virus Vaccines: วัคซีนที่พัฒนาโดยใช้ไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนลงหรือไม่ทำงานเพื่อกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

  การพัฒนาวัคซีนด้วยวิธีนี้ ณ ปัจจุบัน มีเพียง 3 ทีมวิจัยจากจีน ได้แก่บริษัท Sinopharm ของรัฐบาลจีน, บริษัท Sinovac Biotech และสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์จีน ที่อยู่ระหว่างการทดสอบในมนุษย์ โดย Sinopharm นั้นมีผลทดสอบที่ค่อนข้างดีและอยู่ระหว่างการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 3

   Repurposed Vaccines: วัคซีนที่พร้อมใช้สำหรับโรคระบาดอื่นๆ แต่อาจนำมาใช้เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ได้เช่นกัน

  ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยเด็กเมอร์ด็อก ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยทางการแพทย์สำหรับเด็กในออสเตรเลียเป็นทีมวิจัยเพียงกลุ่มเดียว ที่กำลังทดลองนำวัคซีน BCG (Bacillus Calmette Guerin) ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันวัณโรค มาทดสอบใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยตอนนี้มีความคืบหน้าถึงขั้นทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 3

  

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

https://ift.tt/2ZmRQ9L


ที่มา The Standard
สำนักข่าวออนไลน์เชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หลากรูปแบบ ทั้งคอนเทนต์ออนไลน์ วิดีโอ และพอดแคสต์ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งเรื่องในประเทศและต่างประเทศ ครบถ้วนทุกประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ศิลปะ วัฒนธรรม บันเทิง แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ https://thestandard.co/

Let's block ads! (Why?)


July 01, 2020 at 09:12AM
https://ift.tt/2BVEHMy

เปิดขั้นตอนพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และความคืบหน้าจากทีมวิจัยทั่วโลก - efinanceThai
https://ift.tt/2XPOc7E
Home To Blog

No comments:

Post a Comment